"ฝ้า" (Melasma) คือ ผื่นสีน้ำตาลที่คล้ำปรากฏอยู่บนผิวขึ้นมาเองโดยไม่ได้รับเชิญ เริ่มจากมีสีจางๆจนค่อยเข้มขึ้น เกิดขึ้นได้กับทั้งผู้หญิงและชายในทุกช่วงอายุ แต่ส่วนใหญ่จะพบในผู้หญิงมากกว่าเพราะมีฮอร์โมนเพศหญิง(Estrogen)มากกว่า สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งบนผิวหน้าและลำตัว โดยเฉพาะบริเวณที่สัมผัสกับแสงแดดเป็นประจำ โดยเฉพำหาะผู้ที่มีผิวขาวหรือผิวสีอ่อน มีความเสียงในการเกิดฝ้ามากกว่าคนผิวสีเข้ม และมักจะพบในผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป
ฝ้าสามารถเกิดได้กับนทั้งผู้หญิงและผู้ชาย แม้จะไม่ได้ถือว่าเป็นโรคร้ายแรง แต่ก็คอยสร้างความรำคาญใจ ทำให้ผิวหน้าดูมีรอยด่างดำเหมือนเป็นโรคผิวหนัง ขาดความขาวกระจ่างใส จนหลายๆคนขาดความมั่นใจบนใบหน้าไปเลย
ฝ้าแม้จะรักษาให้หายได้ แต่ไม่หายขาด เพราะมันก่อตัวขึ้นได้เองจากระบบของร่างกายภายใน การรักษาฝ้า หากใช้เวลาดูแลใส่ใจและต่อเนื่อง และที่สำคัญต้องรู้จักการปกป้องที่ดี ก็จะช่วยป้องกันการก่อตัวของฝ้าได้อย่างดีทีเดียว
.
ในผิวหนังชั้นผิวหนังกำพร้า (Epidermis) จะมีเซลล์ชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า “เมลาโนไซต์” (Melanocyte) เป็นเซลล์ที่มีรูปร่างแบน เป็นวงรี มีแขนงเหมือนแขนขายึดกันอยู่
ซึ่งเจ้าตัว “เมลาโนโซต์” (Melanocyte) ตัวนี้ ก็ไปจับมือร่วมกับเจ้าเอนไซม์ตัวหนึ่งที่ชื่อว่า “ไทไรสิเนส” (Tyrosenese) ช่วยกันสร้างสิ่งที่เรียกว่า “เม็ดสี” (เมลานิน – Melanin) ซึ่งเจ้าเม็ดสีตัวนี้แหละที่ไปอยู่ตามผิวหนังของคนเรา ทำให้ผิวหนังของคนเรามีผิวสีเหลือง ขาว หรือดำ ตามเชื้อชาติของแต่ละคน เช่น คนไทยมีผิวสีเหลือง คนยุโรปมีผิวสีขาว คนแอฟริกันมีผิวสีดำ เป็นต้น ซึ่งล้วนแต่เกิดจากเจ้าตัวเม็ดสีตัวนี้เลย
และเราจะบอกคุณว่า เจ้า “เมลานิน” ตัวนี้แหละที่ทำให้เกิด ฝ้า กระ หรือรอยดำบนผิวคุณ โดยเฉพาะเมื่อผิวของคุณสัมผัสกับแสงแดดแรงๆเป็นระยะเวลานานๆ เจ้า “เมลานิน” ตัวนี้ก็จะทำหน้าที่ของมันคือปกป้องผิวจากการทำลายของรังสี UVA และรังสี UVB ที่อยู่ในแสงแดด โดยใช้กลไกธรรมชาติของตัวมันเองทำให้เม็ดสีของตัวเองเข้มขึ้นเพื่อทำหน้าที่ปกป้องและกรองแสงแดด (ลองนึกภาพดูว่า เสมือนตัวเมลานินสร้างแว่นกันแดดมากรองแสงแดดก่อนกระทบผิวของคุณอีกชั้นหนึ่ง) ซึ่งขบวนการนี้แหละที่ทำผิวสีของคุณเข้มขึ้น รวมทังมีการก่อตัวของความเข้มผิวในบางจุด จนก่อเป็น ฝ้า กระ บนผิวคุณ ทำให้ผิวดูคล้ำขึ้น หมองขึ้น ไม่สดใสเหมือนสมัยยังเป็นเด็ก
พยายามหลีกเลี่ยงการออกแดดถ้าไม่จำเป็น โดยเฉพาะแดดช่วง 10.00 – 16.00น. หากต้องออกแดด ควรสวมหมวกปีกกว้าง และสวมเสื้อผ้าให้มิดชิด
เมื่อจำเป็นต้องออกแดด ควรใช้โลชั่นหรือครีมกันแดดที่มีค่า SPf-30 และค่าป้องกัน PA++ ขั้นไป ก่อนออกแดดประมาณ 30 นาที ทั้งผิวหน้าและผิวกาย (SPF คืออะไร)
หลีกเลี่ยงยาที่ทำให้ฮอร์โมนเพิ่ม อาทิ ยาคุมกำเนิด ยาฮอร์โมนสำหรับวัยทอง
ผ่อนคลายความเครียดและความกังวลใจ
เพื่อเป็นการดูแลจากภายใน ควรบริโภคผักและผลไม้ที่มีวิตามินเอ ซี อี สูงอยู่เป็นประจำ เพราะจะทำให้เซลล์ผิวของคุณแข็งแรงขึ้น
ยาทาฝ้า ถูกนำมาใช้กันมาอย่างช้านานในรูปของครีมหรือเจล เพราะมันช่วยทำให้รอยฝ้าหรือรอยด่างดำจางลงได้อย่างเห็นได้ชัดมากอย่างรวดเร็ว ภายในเวลาเพียง 3-5 วันเท่านั้น โดยมันจะเข้าไปยับยั้งกระบวนการทำงานของเม็ดสีที่ผิดปกติในผิวหนังได้อย่างรวดเร็วกว่าแบบอื่นๆ
แต่ครีมหรือยากลุ่มนี้แม้จะเห็นผลเร็ว แต่ก็มีอันตรายกับผิวอย่างมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่จะมีสารสำคัญหลักๆ 4 รายการดังนี้
สารไฮโดรควิโนน (Hydroquinone): ทำให้เกิดอาการแสบแดง ผิวหนังลอกคัน ผิวบางลง เกิดด่างขาว
สารปรอท (Mercury): สารปรอทเป็นพิษต่อผิวหนัง ตับ ไต ระบบประสาท และเลือด ยิ่งถ้าในใช้ในผู้หญิงตั้งครรภ์ พิษอาจจะซึมเข้าถืงทารกในท้องได้ ส่งผลให้เด็กเมื่อเกิดมามีความเสี่ยงที่จะสมองพิการหรือปัญญาอ่อนได้
กรดวิตามินเอ: ทำให้ผิวหนังเป็นขุย แสบแดง ลอกง่าย ไวต่อแสงแดด สิวเห่อ สีผิวไม่เรียบเนียน
สเตียรอยด์: ทำให้ผิวระคายเคืองง่าย
แม้ยาแก้ฝ้าทำงานได้เร็วและให้ผลชัดเจน แต่ยาแก้ฝ้าในกลุ่มนี้ ก็มีอันตรายอยู่ค่อนข้างมากอยู่เหมือนกัน และในปัจจุบัน อ.ย. ก็ได้ประกาศให้เป็นสารอันตราย ไม่สามารถให้ใช้ในเครื่องสำอางทุกประเภท แต่อย่างไรก็ดี ก็ยังมีการแอบทำขายในท้องตลาดอย่างมากมาย และในหลายๆคลินิกความงามก็ยังมีการจ่ายยาในกลุ่มนี้ให้กับคนไข้อยู่ (แม้จะอนุญาตให้ใช้ในคลินิกได้ และใช้ในเปอร์เซ็นต์ต่ำตามที่ อ.ย. กำหนด แต่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของแพทย์เท่านั้น แม้จะให้ผลเร็ว แต่จริงๆแล้วก็ยังไม่แนะนำให้ใช้อยู่ดี)
**อันตรายของยาทาแก้ฝ้า**
ไม่สามารถใช้ทาได้ในระยะยาว เพราะจะทำให้เกิดรอยด่างขาวบนผิว ผิวหน้าจะดำขึ้น และจะทำให้เป็นฝ้าถาวรได้ในที่สุด และบ้างครั้งก็ทำให้เกิดตุ่มนูนบนผิวอีกด้วย
เมื่อใช้แล้ว ไม่สามารถหยุดยาได้ในระยะสั้น เพราะมันยิ่งจะทำให้รอยฝ้ากลับมาเข้มกว่าเดิมอีก
การใช้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน จำทำให้ผิวไวต่อแสงแดด มีผลทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้
การซื้อครีมในท้องตลาดมาใช้เอง บ่อยครั้งที่มีส่วนผสมของสารอันตรายสูงเกินมาตราฐาน ผิวหน้าของคุณจะพังแน่นอน
ออร่าไวท์ เบบี้ไวท์เซรั่ม (Auravite Baby White Serum) เป็นเซรั่มบำรุงแต่ไม่ใช่ยา เป็นอีกทางเลือกที่อ่อนโยนและปลอดภัยกว่าหลายๆวิธีในการดูแลผิวเพื่อลดเลือนปัญหา ฝ้า กระ และรอยด่างดำบนผิวให้จางลง ให้ผลชัดเจน
ออร่าไวท์ เบบี้ไวท์เซรั่ม ช่วยลดเลือน ฟ้า กระ อย่างช้าๆ แต่ตรงจุดที่ต้นเหตุ รวมทั้งช่วยป้องกันการก่อตัวของฝ้าใหม่ ช่วยทำให้ผิวของคุณดูกระจ่างใสขึ้นอย่างเป็นธรรมขาติ
มีส่วนประกอบสำคัญของสารสกัดธรรมชาติถึง 7 ชนิด จากพืชออแกนิคที่ปลูกบนสายธารน้ำแร่ธรรมชาติบนเทือกเขาแอลป์ ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ พร้อมด้วยสารบำรุงอีกหลากชนิด อาทิ คอลลาเจนเปปไทด์, ไฮยาลูรอน, วิตามินบี 3 และอีกมากมาย
**ข้อดีของเซรั่มออร่าไวท์ เบบี้ไวท์เซรั่ม**
อ่อนโยนกว่า: อุดมไปด้วยสารสกัดธรรมชาติหลากชนิด ไม่ระคายเคืองผิว
ปลอดภัยกว่า: ไม่มีส่วนผสมของสารปรอท เสตียรอยด์ กรดวิตามินเอ สารไฮโดรควินโนน หรือสารฟอกสี
ลดเลือนและป้องกันฝ้ากระในขวดเดียว: ดูแลปัญหาฝ้ากระได้อย่างตรงจุด อีกทั้งยั้งช่วยบำรุงและฟื้นฟูผิวให้แข็งแรง ช่วยป้องกันการก่อตัวของฝ้าใหม่บนผิวที่เกิดจากการทำงานทีผิดปกติของเซล์เม็ดสี (เมาลานิน - melanin)
ราคาไม่แพง: เซรั่มดีๆ คุณภาพที่มีสารบำรุงแน่นๆ แต่ราคาไม่เว่อร์วัง (สนใจ คลิ๊กเพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติม)
**ข้อเสียของเซรั่มออร่าไวท์ เบบี้ไวท์เซรั่ม**
ให้ผลช้ากว่าการทายาแก้ฝ้าหรือรักษาด้วยวิธีอื่น (แต่ก็ยังอยากจะแนะนำ เพราะปลอดภัยและอ่อนโยนต่อผิวกว่าหลายๆวิธี ให้ผลดีในระยะยาวถ้าใช้อย่างต่อเนื่อง ฝ้ากระและรอยด่างดำลดเลือนลง อีกทั้งช่วยทั้งบำรุง ฟื้นฟู ลดเลือนริ้วรอย กระชับผิวและทำให้รูขุมขนเล็กลง ที่สำคัญไม่ต้องกลัวมีโยโย่ฝ้ากระจะกลับมาดำเข้มกว่าเดิม)
ก่อนอื่น ขอทำความเข้าใจเกี่ยวกับ AHA หรือ Alpha Hydroxy Acids เป็นสารธรรมชาติหรือกรดผลไม้ชนิดอ่อนที่สกัดมาจากผลไม้ตระกูลส้ม ชานอ้อย หรือนมเปรี้ยว มีความระคายเคืองต่อผิวน้อยมาก และเมื่อนำมาทาบนผิวหน้า จะช่วยลอกหรือผลัดเซลล์ผิวด้านบนซึ่งดูหมองคล้ำหรือเสื่อมสภาพไปแล้วค่อยๆหลุดออกอย่างช้าๆอย่างค่อยเป็นค่อยไป แล้วกระตุ้นให้เผยเซลล์ผิวใหม่ด้านล่างที่ดูอ่อนโยนและขาวใสกว่าขึ้นมาแทนที่ รวมทั้งกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว ส่งผลให้ผิวใหม่ดูขาวและกระจ่างใสขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
ในสมัยโบราณที่เคยมีเรื่องเล่ากันมาว่า พระนางคลีโอพัตราแห่งอียิปต์มทรงชื่นชอบการแช่ตัวอยู่ในนมเปรี้ยวประจำ ก็น่าจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่สนับสนุนว่าสาร AHA ในนมเปรี้ยวช่วยให้ผิวพรรณของพระนางดูสดใสและเปล่งปลั่งอยู่เสมอ
ส่วนการทำ AHA Treatment ก็คือการทา AHA เข้มข้น (แล้วแต่ดุลยพินิจของแพทย์) ลงบนผิวหน้า แล้วปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 10 - 15 นาที แล้วจึงล้างออก แล้วเติมสารบำรุงเข้มข้นเพิ่มเข้าสู่ผิวในขั้นตอนหลัง การทำทรีทเม้นท์นี้ จึงช่วยฟื้นฟูให้ผิวหน้าดูขาวขึ้นและสดใสขึ้นในครั้งแรกที่ทำ และหลังจากนั้นประมาณ 2 – 3 อาทิตย์ ผิวจะค่อยซ่อมแซมและฟื้นฟูสภาพผิวด้วยตัวมันเองตามธรรมชาติ สีผิวก็จะดูเรียบเนียนขึ้น ผลลัพธ์ของควา มขาวใสก็จะคงอยู่ได้นานถึงหลายเดือน แล้วแต่สภาพผิวของแต่ละคน
**ข้อเสียของวิธีนี้**
กรดผลไม้หรือเอชเอเป็นสารที่มีฤทธิ์เป็นกรด อาจจะก่อให้เกิดอาการแพ้ แสบแดงหรือระคายเคืองได้ง่าย ไม่เหมาะกับคนผิวแพ้ง่ายหรือผิวแห้งมาก และต้องมีการทำต่อเนื่อง 3 - 5 ครั้ง ถึงจะเห็นผล เห็นผลค่อนข้างช้า
หมายเหตุ
ประโยชน์ของการทำ AHA Treatment
1. ช่วยลดปัญหาริ้วรอยบนผิวหน้า
2. ช่วยลดรอยด่างดำบนผิว และทำให้สีผิวดูสม่ำเสมอขึ้น (Hyperpigmentation)
3. ช่วยทำให้รูขุมขนเล็กลง
4. ช่วยทำให้ผิวที่ไหม้แดดค่อยๆขาวใสขึ้น
5. ช่วยลดรอยกระ
6. ช่วยลดเลือนรอยแผลเป็นให้จางลง
ข้อแนะนำหลังการทำทรีทเม้นท์เพื่อฟื้นฟูสภาพผิวอย่างถูกต้อง
IPL (Intense Pulse Light) คือ เป็นเทคโนโลยีความงามรุ่นแรกๆที่นำมาใช้ในการรักษา ฝ้า กระ โดยการฉายแสงแฟลชคล้ายกับแฟลชกล้องถ่ายภาพ แต่มีความเข้มสูง (Intensive Flash Light) ที่มีความยาวคลื่นที่สามารถปรับค่าผ่านฟิลเตอร์ได้ตั้งแต่ 420 นาโนเมตร ถีง 1,200 นาโนเมตร ลงไปบนผิวหน้าหลายๆจุดวนไปมาจนทั่วซ้ำๆกัน คุณจะรู้สีกเหมือนหนังสติ๊กดีดลงไปบนผิวเบาๆ ช่วยทำให้ ฝ้า กระ รอยดำ บนผิวจางลง
IPL ไม่ใช่เลเซอร์ เป็นเพียงความเข้มข้นแสงเท่านั้น แต่คลินิกความงามหลายแห่งชอบเหมาะเรียวว่าการทำเลเซอร์ IPL ฉะนั้นอย่าสับสนกัน
คำแนะนำก่อนไปทำ IPL
**ข้อดีของการทำ IPL**
ช่วยทำให้ฝ้ากระจางลงได้ โดยไม่ได้ก่อให้เกิดอาการแพ้เหมือนการใช้ยา ไม่ทำให้หน้าบาง
ช่วยทำให้สีผิวเรียบเนียนเสมอกัน ทำให้ผิวหน้าดูกระจ่างใสขึ้น
ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว ทำให้ผิวนุ่มกระชับขึ้น
ช่วยให้รูขุมขนกระชับขึ้น
ไม่เจ็บมากเหมือนทำเลเซอร์ รู้สึกเหมือนหนังสติ๊กดีดที่ผิวเบาๆ ส่วนใหญ๋พอรับได้
ไม่ทำลายผิวชั้นบนเหมือนการทำเลเซอร์
ใช้เวลาทำ 15-30 นาที ไม่ต้องมีการพักฟื้น รักษาแล้วกลับบ้านได้เลย
**ข้อเสียของการทำ IPL**
หลังทำทรีทเม้นท์ ในบางรายมีผิวแสบแดง บางคนมีอาการ 2 – 3 วันเลยก็มี แต่ก็จะหายไปเอง
ต้องทำอย่างต่อเนื่อง อย่างน้อย 3-5 ครั้งถึงจะเห็นผล แต่ในหลายๆรายก็ไม่ได้เห็นลชัดเจนมากนัก
ไม่ได้ช่วยให้ ฝ่า กระ หายได้ขาด มีโอกาสกลับมาเป็นใหม่อยู่ดี ต้องทำซ้ำอยู่เรื่อยๆ**คำแนะนำในการทำ IPL ทรีทเม้นท์ **
หลังจากการทำทรีทเม้นท์ พยายามหลีกเลี่ยงการออกแดด 3 – 4 วัน แต่ถ้าจำเป็น แนะนำให้ทาครีมหรือโลชั่นกันแดด SPF อย่างน้อย 30 ก่อนออกแดดทุกครั้ง
ไอออนโต (Iontophoresis) เป็นเทคโนโลยีความงามที่ทำมานานแล้วในยุคแรกๆ โดยการใช้เครื่องมืออิเล็คทรอนิคส์ผลักตัวยาหรือสารบำรุงให้เข้าสู่ผิวได้ลึกขึ้นกว่าปกติ โดยอาศัยหลักการทำงานของประจุไฟฟ้าอย่างอ่อนผลักตัวยาที่มีขั้วเหมือนกัน (เหมือนแม่เหล็ก ขั้วเหมือนกันผันกันเอง) ให้รูขุมขนขยายตัวและให้ตัวยาซึมเข้าสู่ผิวได้ลึกขึ้น และดูแลปัญหาผิวได้ชัดเจนขึ้น
การทำทรีทเม้นท์จะใช้เวลาประมาณ 20 – 30 นาที เวลาทำอาจจะทำให้คุณรู้สึกเจ็บจี๊ดๆเล็กๆที่หน้า ไม่ได้เจ็บมาก แต่อย่างไรก็ดี อาจจะไม่เห็นผลได้ชัดเจนในครั้งแรก ต้องทำอย่างน้อย 5 – 6 ครั้ง โดยทำ 1 – 2 ครั้งต่ออาทิตย์
โดยเบื้องต้นแพทย์จะวิเคราะห์ปัญหาผิวของคุณดูก่อนว่าควรจะใช้ตัวยาหรือสารบำรุงชนิดใดจะเหมาะสมที่สุด แล้วจึงจัดตัวยาหรือสารบำรุงที่เหมาะสม โดยตัวยาที่มักจะใช้กันได้แก่...
Vitamin C: ตามินซีมักจะเป็นตัวเลือกที่ค่อนข้างจะนิยมในการนำมาใช้ลดเลือน ฝ้า กระ และรอยดำ บนผิว ช่วยทำให้ผิวกระจ่างใสขึ้น รวมทั้งลดเลือนริ้วรอยและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว ทำหิ้ว
Vitamin A: วิตามินเอ เหมาะสำหรับปัญหาสิวอุดตันหรือรอยหลุมสิว อีกทั้งทำให้ผิวหน้าที่หยาบกร้านกระจ่างใสขึ้น
หลังการทำ ผิวของบางคนอาจจะมีสีชมพูระเรื่อในระยะสั้นๆ เพราะกระแสไฟฟ้าจะไปช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตบริเวณผิวหน้า
การดูแลผิวหน้าหลังจากการทำไอออนโต
ผลลัพธ์ที่ได้ของวิธีนี้ อาจจะดีกว่าการทายาทั่วไป แต่ก็ไม่ได้ให้ผลที่ชัดเจนหรือรวดเร็วมากนัก แต่ก็ถือว่าอ่อนโยนต่อผิวและค่อนข้างปลอดภัยเมื่อเทียบกับหลายๆวิธี ราคาส่วนมากไม่แพงมาก หากทำบ่อยๆ ถือว่าเป็นทรีทเม้นท์ที่สาวๆโปรดปรานกันมากทีเดียว
เทคโนโลยีเครื่องโฟโน (Phonophoresis) เป็นเทคโนโลยีความงามที่นำมาใช้ในการดูแลปัญหา ฝ้า กระ และรอยดำบนผิว โดยการใช้คลื่นเสียง Ultrasonic Wave ที่มีความถี่สูง 1 MHz ช่วยผลักตัวยาหรือสารบำรุงกลุ่มไวท์เทนนิ่งให้ซึมเข้าสู่ผิวได้ลึกขึ้นกว่าปกติ ช่วยทำให้ผิวหน้ากระจ่างใสขึ้น
การทำงานขอวิธีนี้ค่อนข้างใกล้เคียงกับเครื่องไอออนโต (Iontophoresis) และให้ผลได้ค่อนข้างใกล้เคียงกันมาก แต่ดีกว่าตรงที่จะไม่เจ็บ การทำทรีทเม้นท์จะใช้หัวนวดแบนนวดคลึงวนไปบนผิวหน้าพร้อมเติมตัวยาหรือสารบำรุงไปเรื่อยๆ ในบางรายจะรู้สึกอุ่นๆนิดๆ ใช้เวลาในการทำทรีทเม้นท์ประมาณ 20 – 30 นาที
ผลลัพธ์ที่ได้ของวิธีนี้ อาจจะดีกว่าการทายาทั่วไป แต่ก็ไม่ได้ให้ผลที่ชัดเจนหรือรวดเร็วมากนัก แต่ก็ถือว่าอ่อนโยนต่อผิวและค่อนข้างปลอดภัยเมื่อเทียบกับหลายๆวิธี ราคาส่วนมากไม่แพงมาก
การดูแลผิวหน้าหลังจากการทำทรีทเม้นท์
งดการใช้ยาหรือครีมบำรุงที่มีส่วนผสมในการกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว อาทิ เอเอชเอ (AHA) หรือ เรตินเอ (Retin-A)
เมโสเทอราพี (Mesotherapy หรือ Electroporation) เป็นเทคโนโลยีความงามอีกวิธีหนึ่งในการใช้เครื่องมือผลักวิตามินหรือสารบำรุงประเภทไวท์เทนนิ่ง (Whitening) ให้เข้าสู่ผิวชั้นลึกได้ดีกว่าการทาครีมบำรุงผิวทั่วไป ช่วยทำให้ รอยฝ้า กระ จุดด่างดำ ค่อยๆจางลง ค่อนข้างจะให้ผลดีกว่าทรีทเม้นท์ไอออนโต (Iontophoresis) หรือทรีทเม้นท์โฟโน (Phonophoresis)
อาศัยการทำงานของกระแสไฟฟ้าที่มีความต่างศักย์สูง กระตุ้นให้โครงสร้างชั้นไขมันของเซลล์ผิวเกิดช่องว่าง เมื่อผิวหนังชั้นบนสุดขยายตัว ก็จะช่วยทำให้ตัววิตามินหรือสารบำรุงสามารถซึมเข้าสู่ผิวได้ลึกกว่าปกติ จากการวิจัยพบว่า ให้ผลได้ดีใกล้ๆกับการใช้เข็มฉีดยาฉีดไปตื้นบนผิว (Mesotherapy) นอกจากนี้ยังช่วงกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตและออกซิเจนบนผิวได้อีกด้วย
การทำทรีมเม้นท์จะใช้เวลาประมาณ 20 – 30 นาที โดยใช้หัวนวดแบนๆนวดคลึงไปทั่วผิวหน้าพร้อมกับลงตัวยาหรือสารบำรุงตามไปเรื่อยๆ ในบางรายอาจจะให้ความรู้สึกเหมือนไฟดูดอ่อนๆบนผิวหน้า (จี้ดๆเบาๆ ไม่เจ็บ) อย่างไรก็ดี ผลลัพธ์ที่ได้ก็ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของเครื่องและตัวยาที่แพทย์แนะนำ รวมทั้งสภาพผิวของแต่ละคน
การดูแลผิวหน้าหลังจากการทำทรีทเม้นท์
พยายามหลีกเลี่ยงแสงแดด แต่ถ้าต้องออกแดด ควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF-30 เป็นอย่างน้อย ก่อนออกแดดประมาณ 30 นาที
งดการใช้ยาหรือครีมบำรุงที่มีส่วนผสมในการกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว อาทิ เอเอชเอ (AHA) หรือ เรตินเอ (Retin-A)
ผลลัพธ์ที่ได้ของวิธีนี้ อาจจะดีกว่าการทายาทั่วไป แต่ก็ไม่ได้ให้ผลทันทีหรือรวดเร็วมากนัก แต่ก็ถือว่าอ่อนโยนต่อผิวและค่อนข้างปลอดภัยเมื่อเทียบกับหลายๆวิธี ควรจะรับการทำทรีมเม้นท์อย่างน้อย 5 - 8 ครั้ง
เมโสเทอราพี หรือที่มักจะเรียกกันว่าเมโสหน้าใส (Mesotherapy) เป็นการใช้เข็มฉีดยาขนาดเล็ก ประมาณ 27-30G ฉีดวิตามินหรือสารบำรุงไปทั่วผิวหน้าแบบตื้นๆเหมือนการสะกิดผิว ทำให้สารบำรุงสามารถซึมเข้าสู่ผิวชั้นลึกได้ดีกว่าการทาครีมบำรุงทั่วไป เป็นการฟื้นฟูและบำรุงผิวในระดับเซลล์ ช่วยลดเลือนรอยฝ้า กระ และจุดด่างดำ ให้ค่อยๆจางลง ทำให้ผิวหน้าดูกระจ่างใส แม้จะไม่เห็นผลทันที แต่ก็ดูปลอดภัยกว่าการใช้ยาทาฝ้า
ตอนลงเข็ม อาจจะรู้สึกเจ็บจี้ดเหมือนมดกัด หลังการทำทรีทเม้นท์อาจจะเกิดรอยแดงเล็กๆบนผิว แต่ม้นจะค่อยๆจางหายไปภายใน 1 – 3 วัน ไม่ต้องมีการพักฟื้น และจะเริ่มเห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้นภายในเวลาประมาณ 7 – 14 วัน
การดูแลผิวหน้าหลังจากการทำทรีทเม้นท์
หากเกิดรอยแดง หรือรอยช้ำบริเวณที่ฉีด สามารถใช้น้ำแข็งประคบเย็นได้ภายใน 48 ชั่วโมง
**หมายเหตุ** การรักษาด้วยวิธีนี้ ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น
หน้าแรก / สั่งซื้อสินค้า / ตะกร้าสินค้า / วิธีชำระค่าสินค้า / บทความ เจาะลึกเรื่องฝ้ากระ / ติดต่อเรา
บจก. คอสติค อินเตอร์เนชั่นแนล
461/1-3 ซ.แก้วฟ้า ถ.สี่พระยา แขวงมหาพฤฒาราม เขต บางรัก กรุงเทพมหานคร 10500
Line ID: @auravite